Popular Posts

Saturday, April 20, 2013

หมากกับพลูมีสรรพคุณทางยาอย่างไร


หมากกับพลูมีสรรพคุณทางยาอย่างไร
 
ในบางประเทศ มีการเคี้ยวหมากของวัยเด็ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ หรืออย่างในประเทศเวียดนาม การเคี้ยวหมากนั้น เกิดจากความเชื่อว่าผลหมากจะสามารถเป็นยารักษาโรคมาลาเรียได้ คนจึงเคี้ยวหมากกันทั่วไปในเวียดนาม จนกระทั่งเมื่อฝรั่งเศสเดินทางสู่เวียดนามช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ได้สั่งห้ามบ้วนน้ำลาย จึงทำให้การเคี้ยวหมาก ซึ่งจะต้องมีการบ้วนน้ำหมากเป็นปกติต้องได้รับผลกระทบ และการเคี้ยวหมากก็ได้ลดลงไปในที่สุด


ในประเทศไทย เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 เองนั้นก็ทรงเคี้ยวหมาก แต่เมื่อมีการเดินทางติดต่อกัยประเทศทางตะวันตก พระองค์ได้พบว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการกินหมากทำให้ฟันดำ ซึ่งแตกต่างออกไปจากชาวตะวันตกที่ฟันขาว จึงได้ทรงเลิกเสีย กระทั่งล่วงมาถึงสมัยจอมพลป.พิบูลสงครามเป็นผู้นำ ก็ได้ออกรัฐนิยมฉบับที่ 10 เรื่องเครื่องแต่งกายของประชาชนชาวไทยและการห้ามกินหมาก ซึ่งประกาศเมื่อปี พ.ศ.2484 เพื่อแสดงถึงความมี “อารยะ” ของชาวไทย


ในขณะเดียวกัน ถึงแม้เราจะเห็นตัวอย่างของการเลิกเคี้ยวหมากเนื่องมาจากการเริ่มติดต่อกับทางตะวันตกมากขึ้น ในปาปัว นิวกินีกลับใช้การเคี้ยวหมากนี้เองเป็น “สัญลักษณ์” ในการแสดงถึงการต่อต้านการเข้ามาของเจ้าอาณานิคม และเป็นเหมือนการแสดงออกถึงความไม่พอใจในการตกอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงจากภายนอก


มองในแง่วิทยาศาสตร์แล้ว ลูกหมากนั้นมีสารอัลคาลอยด์สูง ซึ่งสารที่ว่านี้จะเป็นตัวการทำให้เนื้อเยื่อช่องปากอักเสบและเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปากในเวลาต่อมาได้* แต่การที่คนเคี้ยวหมากกันมากนั้น เนื่องมาจากหากเคี้ยวหมากบ่อยถึงขนาดหนึ่งแล้วจะเริ่มติด และเลิกได้ยาก


การเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่มากับสังคมไทยในอดีต กระทั่งมีสำนวนเพื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาในสมัยก่อนว่า “ชั่วเคี้ยวหมากจืด” ซึ่งเป็นการเทียบกับการเคี้ยวหมากหนึ่งคำ โดยนำหมาก ใบพลูที่บ้ายปูนแล้ว เคี้ยวรวมไปกับเกล็ดพิมเสน กานพลู ยาจืด และเครื่องหอมอื่นๆ เคี้ยวไปพอหมากพลูผสมกับน้ำลายกลายเป็นน้ำหมากสีแดงก็บ้วนทิ้งเสียครั้งหนึ่ง แล้วเคี้ยวต่อไป พอมีน้ำหมากก็บ้วนน้ำหมากทิ้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนหมากหมดรสฝาด เรียกว่า หมากจืด จึงคายชานหมากทิ้ง ช่วงเวลาทั้งหมดนี้คือประมาณ 20-30 นาทีนั่นเอง**





ก่อนจบมีนิทานเวียดนาม***อยากจะเล่าให้ฟังครับ...


ในสมัยกษัตริย์ฮุง มีชาวจีนคนหนึ่งรูปร่างสูงและแปลก กษัตริย์ฮุง รักเขามาก และเรียกให้เขาเข้าไปพบที่ฟองจ้าวเพื่อให้รางวัล และตั้งชื่อให้ชายจีนผู้นั้นว่า “เกา”


ครอบครัวเกามีลูกชายสองคนซึ่งหน้าตาเหมือนกันมาก ไม่มีใครสามารถแยกพวกเขาออกแม้กระทั่งพ่อแม่ของเขาเอง ดังนั้นสองคนพี่น้องนั้นจึงใส่ผ้าขาวม้าคนละสีเพื่อที่คนอื่นจะได้ทราบว่าใครเป็นใคร ผ้าขาวม้าของลังสีน้ำตาล ส่วนของเตินสีน้ำเงิน ทันและลังรักกันมาก พวกเขาสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปและไม่มีใครสามารถทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาลงได้ ทั้งสองช่วยกันทำงานไม่ว่าจะงานใหญ่หรือเล็ก


เตินกับลังชอบแกล้งทุกๆ คนโดยสลับผ้าขาวม้ากัน ตามงานเทศกาลต่างๆ ทุกคนจะพูดถึงพวกเขาทั้งสองเสมอ ทุกๆ คนรักเด็กทั้งสอง และพวกเขาก็โตขึ้นเรื่อยๆ


หลังจากพิธี Thanh Dinh ผ่านไป พ่อส่งเตินกับลังไปเรียนที่ สำนักลัทธิเต๋า ชื่อ Luu Huyen หลังจากนั้นไม่นานพอเขาก็ตาย ตามธรรมเนียมเตินต้องทุบหิน เสียงทุบนั้นสะท้อนไปตามภูเขาและป่า เพื่อประกาศให้ชาวบ้านทราบว่าครอบครัวนี้มีเรื่องเศร้าและต้องการความช่วยเหลือ


ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง เตินกับลังขอร้องให้เพื่อนบ้านช่วยดูแลแม่ขณะที่พวกเขาเข้าป่าไปตัดไม้ต้นใหญ่ เพื่อที่จะเอมาทำโลงศพให้พ่อ โลงมีรูปร่างเหมือนเรือ พวกเขาแบกมันกลับมาและนำร่างพ่อใส่ลงไป


หลังจากนั้นไม่กี่วัน แม่เขาก็ป่วยและตายในที่สุด ทั้งสองกลายเป็นลูกกำพร้า จึงได้ย้ายไปอยู่บ้านอาจารย์ ลิว พี่น้องทั้งสองซื่อสัตย์ อ่อนโยน เรียนและทำงานหนัก ครอบครัวอาจารย์ลิวจึงรักพวกเขามาก ลูกสาวอาจารย์ชื่อลิว ลิวก็เริ่มสนใจสองพี่น้องเหมือนกัน เธอสวยงามมากและชอบตามทั้งสองไปทำงานในป่า แต่เธอไม่เคยแยกออกว่าใครคือเตินและใครคือลัง เธอสงสัยมาก


วันหนึ่ง เด็กหญิงผู้มีไหวพริบก็คิดขึ้นมาได้ เธอนำข้าวถ้วยหนึ่งกับตะเกียบหนึ่งคู่ไปให้สองพี่น้อง ลังส่งอาหารให้พี่ชาย ดังนั้นเด็กหญิงจึงรู้ว่า เตินเป็นพี่


จากนั้นไม่นาน อาจารย์ลิวต้องการให้เตินหรือลัง แต่งงานกับลูกสาวเขา เขาถามลิว ลิว เธอตอบว่าเธออยากแต่งงานกับเติน


เตินกับลังสร้างบ้านไม้ขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอ บ้านมีหลังคาโค้งเหมือนเรือ เตินและลิว ลิวเป็นคู่สามีภรรยาที่ทุกคนรู้จัก


หลังจากแต่งงานแล้ว ลิว ลิวอยู่กับเตินในบ้านใหม่ และลังก็อยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย เตินกับลังไม่สนิทกันเหมือนก่อน แต่ก็ยังรักกันเหมือนเดิม ลังไม่ค่อยพอใจที่พี่ชายเหินห่างไป เขาเหงาและกลายเป็นคนเงียบและชอบเดินไปในป่า แต่เตินไม่ได้สังเกต


วันหนึ่ง เตินและลังออกไปล่าสัตว์ด้วยกัน พระอาทิตย์กำลังจะตก แต่เตินก็ยังตามล่าเหยื่ออย่างไม่ลดละ เขาบอกให้ลังกลับบ้านไปบอกลิว ลิวว่าจะกลับบ้านช้า


ลังกลับมาบ้านคนเดียวตอนหัวค่ำ ลิว ลิวนั่งคอยทันอยู่ที่บันได พอเห็นเป็นเงาๆ เธอจึงคิดว่าเตินกลับมาแล้ว และวิ่งเข้าไปกอด และกระซิบว่า


“กลับมาช้าจัง ฉันคอยตั้งนานแล้ว”


ลังรู้ว่าพี่สะใภ้ทักผิดคน และรู้สึกอาย เขาจึงพูดอย่างนอบน้อมว่า


“ขอโทษครับ นี่ลัง”


ลิว ลิว รู้สึกเขิน เธอดึงมือออกและเดินเข้าบ้านไป


ลังรู้สึกสับสนและไม่รู้จะทำอย่างไร “เดี๋ยวนี้พี่ไม่ค่อยสนใจฉัน ถ้าเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาคงจะยิ่งไม่สนใจฉันเข้าไปใหญ่” ลังคิด พร้อมกับตัดสินใจออกจากบ้าน


ลังกลับไปที่หมูบ้านที่เขาเคยอยู่ตอนเด็ก เขาเดินไปเร

ที่มา:

No comments:

Post a Comment