Popular Posts

Tuesday, April 23, 2013

การดื่มไวน์มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร


การดื่มไวน์มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร
จริงๆ ผมเนี่ยไม่เคยดื่มไวน์หรอกครับเพราะเเพงอีกอย่างนึง จะดื่มไวน์เนี่ย ต้องมานั่งซื้อเเก้วมันอีกนะครับ ถ้ายกดื่ม เหมือนดื่ม ช้าง หรือ ลีโอ เนี่ยเค้าจะหาว่า เกียร หรือ ชนกลุ่มน้อยได้นะครับ เวลากินเนี่ย ตอนเท ก็ต้องเทให้ถูกนะครับ  เเละจะดื่มเนี่ย ตอนยกเข้าปาก เนี่ยต้องทำมุมกี่องศา ไม่รู้อะไรของมัน เเต่เท่าที่เคยดื่มมานะครับ ถ้าคุณยกสด เหมือนเบียร์ เนี่ย จะไม่ได้รสชาติไวน์เลยครับ เพราะ การดื่มไวน์เนี่ย ต้องสูดกลิ่น เวลาเข้าปากต้องอมไว้ซักพักนึงก่อนนะครับ เเล้วค่อยกลืน เนี่ยเเหละวิธีกิน จะต่างกับพวกเบียร์นะครับเพราะพวกนี้อมไว้ไม่กลื่นไม่ได้เรื่องเลย เอาหละครับ มาดูสิ่งควรรู้กัน
6 ข้อควรรู้สำหรับนักดื่มไวน์
1) ฉลากไวน์
บนฉลากมักจะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับไวน์ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการทราบ เช่น ชื่อของไวน์ ผลิตจากประเทศไหน จำนวนปีที่บ่ม หรือบางครั้งอาจมีชนิดขององุ่นที่ใช้ในการทำไวน์ด้วย นอกจากนั้นก็จะมีระดับคุณภาพตามที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2) การเสิร์ฟไวน์
ไวน์ขาวและแชมเปญจะเสริ์ฟขณะเย็นๆเล็กน้อย ส่วนไวน์แดงจะเสริ์ฟที่อุณหภูมิห้อง การเปิดขวดไวน์แดงนั้นจะมีเทคนิคนิดหน่อยเพื่อให้ไวน์ได้”หายใจ” รินลงในแก้วที่มั่นใจว่าสะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกหรือน้ำยาล้างจานตกค้าง ประมาณ 1/3 ของแก้ว ก่อนดื่มอาจจะสูดกลิ่นของไวน์ก่อนก็ได้
3) จับคู่ไวน์กับอาหาร
สำหรับไวน์ที่มีรสชาติลุ่มลึกเป็นพิเศษนัน้จะมีทริคนิดหน่อยในการจับคู่กับอาหารเพื่อให้ได้รสชาติที่สมดุลกัน เช่น การไม่เสิร์ฟไวน์แดงซึ่งมีรสชาติเข้มข้นกับอาหารทะเลรสชาติอ่อน หรืออาหารเนื้อรสจัดกับไวน์ขาวรสอ่อน ปัจจัยอื่นๆที่ใช้พิจารณาก็เช่น ความเป็นกรด ความหวาน ความเผ็ด โดยทั่วไป อาหารของประเทศไหนก็ควรจะเสริ์ฟกับไวน์จากประเทศนั้น เช่นเสิร์ฟไวน์ฝรั่งเศสคู่กับอาหารฝรั่งเศส เสิร์ฟไวน์สเปนคู่กับอาหารสเปน
สำหรับอาหารรสเผ็ดอย่างแกงไทยหรือแกงอินเดียนั้น เข้าคู่ได้ดีที่สุดกับไวน์ขาวที่มีรสเข้มข้นอย่าง New World Chardonneys หรือ เซมิลญอง ส่วนอาหารจีนและอาหารไทยทั่วไปนั้นเข้ากันได้ดีกับไวน์ขาวที่อ่อนกว่า อาหารย่างของอังกฤษเหมาะกับไวน์แดงอ่อนๆ นอกนั้น ไวน์แดงก็ใช้ดื่มคู่กับอาหารประเภทปลาได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นไวน์ขวอย่างเดียว
4) ไวน์ที่เหลือ
ไวน์ขาวเก็บไว้ได้สองวัน ไวน์แดงสามวัน โดยต้องปิดขวดใหม่แล้วเก็บในที่เย็นและมืด ถ้าหลังจากนั้นแล้วไม่ควรดื่ม ใช้แค่ในการประกอบอาหารเท่านั้น สำหรับแชมเปญหรือไวน์ซ่านั้นเก็บความซ่าไว้ได้โดยฝาแบบพิเศษและเก็บในตู้เย็น นอกจากนั้นยังมีไวน์บางชนิดที่เก็บได้หลายสัปดาห์หลังจากเปิดแล้เพราะมีการผสมเหล้าสปิริตลงไปด้วย
5) ดื่มเมื่อ…
ไวน์ส่วนมากจะขายอยู่ในสภาพพร้อมดื่มอยู่แล้ว ไวน์แดง ไวน์ขาว ไวน์โรเซ่ แชมเปญ ไวน์ซ่าควรดื่มภายใน 6 เดือนหลังจากซื้อมา แต่ก็มีไวน์บางชนิดที่สามารถเก็บได้เป็นปีๆเพื่อบ่มต่อหรือทำให้รสชาติดีขึ้น
6) การเก็บไวน์
ไวน์ที่ซื้อมาเพื่อดื่มภายใน 24 ชั่วโมง ปกติแล้วจะเก็บให้พ้นจากแสงแดดและความร้อน หรือเก็บในที่เย็น (แต่ไม่ใช่เย็นเฉียบ) และพ้นจากสิ่งที่มีกลิ่นฉุน (เช่นน้ำมัน) และวางขวดในแนวนอนเพื่อป้องกันจุกคอร์กแห้ง ซึ่งจะทำให้อากาศเข้าไปในขวดได้ ข้อมูลจาก บล๊อก Routine Life
ประเภทของเหล้าไวน์
ถ้าจะให้จำแนกประเภทของเหล้าไวน์ออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เราก็สามารถแยกแยะเหล้าไวน์ใน โลกนี้ ออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันคือ พวกเทเบิ้วไวน์ (Table Wines) พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparking Wines) และพวก ฟอร์ติไฟด์ไวน์ (Fortified Wines)
ซึ่งแต่ละพวกก็ยังสามารถไล่เรียงลูกหลายย่อย ๆ ออกไปอีกหลาย ๆ ตระกูล
พวกเทเบิ้ลไวน์ (Table Wines) เป็นไวน์ยอดนิยม ซึ่งไวน์ในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นไวน์จาก ตระกูลนี้ทั้งสิ้นเป็นไวน์ที่เหมาะสมสำหรับดื่มคู่กับอาหาร มีแอลกอฮอล์ในน้ำสุราระหว่าง 7 – 15 ดีกรีระบบยุโรป นอกจากนั้นไวน์ขาวและไวน์แดงของเทเบิ้ลไวน์ก็ยังแตกสาขาออกไปอีก อย่างไวน์ขาว ก็มีทั้งประเภทหวาน และ ประเภทไม่หวาน สำหรับไวน์ขาว ประเภทไม่หวานชนิดที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้แก่ จำพวก Chablis ไวน์ Muscadet Riesling สำหรับไวน์ขาวนี้อาหาร ที่เหมาะสำหรับดื่มคู่ กับ ไวน์ขาว ได้แก่ เนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่ออกทางสีขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา เนื้อปู สำหรับไวน์แดง ไวน์แดงจากแค้วนบอร์โดซ์ของฝรั่งเศสถึอว่าเป็นไวน์ที่เยี่ยมที่สุดของโลก และไวน์แดงทุกชนิด จะไม่ออกรสหวานเลย อาหารที่คู่กับไวน์แดงได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ออกทางสีแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อเก้ง เนื้อแกะ ฯลฯ
พวกสปาร์กลิ้งไวน์ (Sparkling Wines) ไวน์ประเภทนี้ได้แก่ ไวน์ประเภทที่มีฟองนั่นเองหรือเป็น ไวน์จำพวกที่มีดีกรีปานกลางคือมีแรงแอลกอฮอล์ระหว่าง 15 – 18 ดีกรี ระบบยุโรป ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์ขาวและส่วนน้อยจะเป็นไวน์แดง หรือ ไวน์สีชมพู รสของไวน์ประเภทนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่หวานเลยระเรื่อยไปจนหวานนิดหน่อย หวานมาก และหวานมาก เป็นไวน์ที่ไม่เหมาะสำหรับดื่มคู่กับอาหารแต่เป็นการดื่มฉาบฉวยในบางโอกาส โดยเฉพาะในโอกาสฉลองชัย ไวน์ประเภทนี้ ปกติชนทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าไวน์แต่จะมีชื่อเสียงเรียงนามจำเพาะเจาะจงของมันเรียกเป็นเอกเทศ เช่น เหล้าแชมเปญ เหล้าชาร์มัง เหล้าคาร์บอเนต เหล้าสปาร์กลิ้งเบอร์กันดี
พวกฟอร์ตืไฟด์ไวน์ (Fortified Wines) เป็นเหล้าไวน์ประเภทที่มีดีกรีสูงที่สุดคือมีแรง แอลกอฮอล์ ระหว่าง 18 – 22 ดีกรี ระบบุโรปและเป็นไวน์นักดื่มทั่วไปไม่นิยมเรียกว่าเหล้าไวน์ แต่จะมีชื่อจำเพาะเจาะจงของมันเองเช่นเดียวกับสปาร์กลิ้งไวน์แถมเหล้าไวน์นี้แผกเพี้ยน ไปกว่าเหล้าไวน์ตระกูลอื่น ๆ คือน้ำเหล้าแทนที่จะเป็นไวน์ล้วน ๆ แต่เป็นการนำไวน์มาผสมกับบรั่นดี โดยมีบรั่นดี เจือผสมอยู่ใน ฟอร์ติไฟด์ไวน์ 15 % ไวน์ในตระกูลนี้บางตัวก็เป็นไวน์พิสดารอย่างเช่น เหล้า เชอรี่ ของ สเปญประเภทฟีโนเมื่อรินน้ำเหล้าใส่แก้วก็จะมีดอกไม้ เบ่งบานในน้ำเหล้าให้ผู้ดื่มได้ หวือหวาอีกด้วย
อุณหภูมิในการเสริฟ์ไวน์
ควรปรับให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับเสริฟอย่างช้า ๆ สำหรับไวน์ขาวรส ไม่ หวาน (Dry White Wine) และ ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ควรเสริฟ์ในขณะที่มี อุณหภูมิระหว่าง 8 – 12 องศา C แต่อย่าให้เย็นจัดจนเริ่มจับเป็นเกล็ด หรือแข็งจน เป็นน้ำแข็ง ไวน์ที่ค่อนข้าง หวาน หรือไวน์ ขาวหวาน,แชมเปญหรือไวน์ฟอง (Sparkling Wine) อาจ เสริฟ ในอุณหภูมิ ที่ต่ำกว่า ไวน์ขาว หรือไวน์รสไม่หวาน ได้ คือ ประมาณ 6 – 8 องศา C ไวน์แดงอ่อน รสนุ่ม จะต้องเสริฟ ณ อุณหภูมิ ของห้องเก็บไวน์มาตรฐาน (Cellar)ประมาณ 10 – 12 องศา C ไวน์แดงที่เข้มข้น ควรเสิรฟ์ใน อุณหภูมิ “Chambre” คือให้ไวน์ มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิในห้องที่อบอุ่นปานกลาง เช่น ไวน์บอร์โด เสิร์ฟที่ อุณหภูมิ 18 -19 องศา C ส่วน ไวน์เบอร์ กันดี เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 15 – 16 องศา C
สิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง
การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิรฟ์ไวน์ขาว
- เสิร์ฟเย็นจัดจนเกินไป หรือกลายเป็นน้ำแข็ง
- แช่เย็นไว้ในตู้เย็นนานกว่า 2 ชั่วโมง
- แช่ไวน์ไว้ในช่องทำน้ำแข็ง
- ใส่น้ำแข็งในไวน์
การกระทำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเสิร์ฟไวน์แดง
- อุ่นให้ร้อนจนเกินไป การทำให้ไวน์เข้าสู่อุณหภูมิ “Chambre” ไม่ได้หมายความว่า อุ่นด้วยความร้อน
- ใส่ขวดไวน์ไว้ในหม้อน้ำร้อน
สำหรับไวน์ทุกชนิด
- ต้องปรับอุณหภูมิของไวน์อย่างช้า ๆ ให้เข้าสู่อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการดื่ม ไม่ควรใช้วิธีลดหรือเพิ่มอุณหภูมิที่เร็วเกินไป
อุณหภูมิที่ไวน์จะมีรสดีที่สุด กฎทั่วไป
ไวน์ใหม่ควรจะเสิร์ฟให้มีความเย็นมากกว่าไวน์ที่เก็บหลายปี
อย่าลืมว่า ขณะที่รับประทานอาหาร อุณหภูมิของไวน์ในแก้วจะเพิ่มขึ้น
ไวน์ที่เสิร์ฟในอุณหภูมิระหว่าง 6 องศา C และ 8 องศา C ในห้องที่มีอุณหภูมิ 18 องศา C จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็น 10 องศา C ถึง 12 องศา C ได้ในเวลาประมาณ 10 นาที
แก้วดีที่เหมาะกับไวน์ดี ลักษณะที่จำเป็นของแก้วไวน์ที่ดี มีดังนี้คือ
แก้วไวน์จะต้องมีขนาดใหญ่พอ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรินไวน์จนเต็มแก้ว
ควรเป็นแก้วทรงกลม ปากแก้วแคบเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นไวน์อบอวลอยู่ในแก้ว และหอมเตะจมูกของผู้ดื่มได้
ควรมีก้านแก้วยาว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิของแก้วไวน์ในแก้วเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปในขณะที่ดื่ม
สิ่งสำคัญที่พึงนึกถึง
แก้วที่ดีจะต้องทำขึ้นเพื่อให้เหมาะกับการดื่มและการดมกลิ่นหอมของไวน์ ไม่ใช่เพียง เพื่อมองดูสวยงามเท่านั้น
ควรหลีกเลี่ยงแก้วที่หนาหรือแก้วที่มีสีสัน
ตัวแก้วควรจะทำมมาจากเแก้วเนื้อดี มีรูปร่างเรียวบางที่สุดที่จะทำได้ และควรจะใสสะอาดด้วยแค่เพียงแสงไฟก็เพียง พอแล้วที่จะทำให้เราสามารถชื่นชมกับสีสัน ประกายแวววาว และความใสของไวน์นั้นได้
ความสะอาดของแก้วไวน์ แก้วไวน์จะต้องสะอาดปราศจากรอยเปรอะเปื้อน
ระวังรอยลิปสติกที่อาจหลงเหลืออยู่
ล้างแก้วในน้ำอุ่น ๆ ไม่ต้องใช้น้ำยาล้าง
ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดเช็ดแก้ว
ระวังอย่าให้ฝุ่นจับอยู่บนชั้นวางแก้ว
วิธีเปิดขวดไวน์
เมื่อคุณได้เลือกหยิบไวน์มาจากหิ้งเก็บไวน์เพื่อเสิร์ฟให้แขกผู้มีเกียรติของคุณนั้นควรคำนึงว่าคุณได้เก็บ ไวน์ นี้ไว้อย่างดี โดยไม่ได้ถูกแสงสว่าง และอยู่ในอุณหภูมิที่สม่ำเสมอที่ 10 – 20 องศา C
*ควรสังเกต ถ้าเป็นไวน์แดงคุณภาพสูง ที่ผ่านการบ่มในขวดหลายปี ถ้าไม่มีตะกอนอยู่ที่ก้นขวดก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ตะกร้า เสิร์ฟแต่ในกรณีที่เป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน ก็อาจมีตะกอน จากกรดของเปลือกองุ่นอยู่ก้นขวดคุณจะต้องใช้ความระมัด ระวังในการเสิร์ฟไวน์ขวดนี้เป็นพิเศษโดยใช้ตะกร้าเสิร์ฟ และวางขวดให้อยู่ในแนวนอนตามสภาพที่มันอยู่บนหิ้งเก็บไวน์และระวังอย่า เขย่าขวดเพื่อไม่ให้ตะกอนเจือปนกับไวน์รสกลมกล่อมขวดนี้ได้
วิธีเปิดฝาขวด (ควรทำอย่างเบามือ)
ใช้มีดกรีดส่วนที่เป็นโลหะหรือพลาสติกที่หุ้มรอบคอขวดออก ให้ต่ำจากฝาขวด 1 ซม. เพื่อไม่ให้ไวน์ สัมผัสวัสดุใด ๆ รอบคอ ขวดในขณะริน และเช็ดด้วยผ้าสะอาด
วิธีเปิดจุกคอร์ก
การจะเปิดจุกคอร์กได้ดี ควรจะมีที่เปิดจุกคอร์กแบบเกลียวเพื่อความสะดวกในการเปิด
เมื่อดึงจุกคอร์กออกมาแล้ว ให้ดมกลิ่นจากจุกคอร์กนี้อย่างระมัดระวัง ถ้ามีกลิ่นบูดอยู่ในจุกคอร์กจะต้องเก็บไวน์ขวดนี้ และ เสิร์ฟไวน์ขวดใหม่ทันที
เช็ดรอบคอขวดอีกครั้ง โดยเช็ดรอบขอบด้านในของขวดด้วย
รินไวน์ลงในแก้วเล็กน้อยเพื่อชิมรสชาติ
วิธีเปิดขวดแชมเปญหรือไวน์ฟอง
จับขวดด้วยมือหนึ่ง และใช้มืออีกช้างหนึ่งปลดลวดที่รัดจุกคอร์กอยู่
เอียงขวดเล็กน้อยให้เป็นมุมเฉียง จับจุกคอร์กให้แน่นขณะที่หมุนขวดไปด้วย จุกคอร์กจะขยับออกอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงจุกคอร์ก ออกทีละน้อย เพื่อให้แก๊สภายในขวด ดันออกมาอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ โดยไม่ทำให้ฟองล้นออกมา
เช็ดรอบคอขวดด้วยผ้าสะอาด เทแชมเปญเพียงเล็กน้อยลงในแก้วแต่ละใบ แล้วจึงเติมลงในแก้วแต่ละใบอีกครั้งให้เป็น 2/3 ของแก้ว
อย่าบดบังฉลากบนขวด เพราะฉลากที่ออกแบบมาอย่างสวยงามเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งที่ดึงดูดใจผู้ดื่ม
ไม่ควรใช้ที่เขย่าผมสเหล้าเพื่อเพิ่มฟองอย่างเด็ดขาด เพราะจะเป็นการทำลายฟองและกลิ่มหอมของไวน์ชนิดนี้ให้หมดไปและ ยังเป็นการดูหมิ่นความพยายามของทั้งผู้ผลิตและ ผู้เก็บรักษาอีกด้วย
การรินไวน์อย่างถูกวิธี
ไม่มีอะไรจะง่ายดายเท่าการรินไวน์ อย่างไรก็ตาม คุณควรทำตามนำแนะนำเหล่านี้อย่างตั้งใจด้วย
- อย่าให้ขวดอยู่สูงจากแก้ว ควรให้คอขวดอยู่ใกล้กับปากแก้ว เพื่อที่ไวน์จะได้ไหลลงแก้วอย่างเบา ๆ ละไวน์ไม่กระเพื่อม
- อย่าให้คอขวดไวน์อิงติดกับปากแก้วขณะริน
- ระวังให้ไวน์หยดสุดท้ายที่คุณรินนั้นหยดลงในแก้วไวน์ ไม่ใช่หยดลงบนผ้าปูโต๊ะทำได้โดยหมุนขวดเล็กน้อยในขณะที่ยกคอขวดขึ้นจากนั้นเช็ดคอขวดทันทีด้วย ผ้าสะอาด ก่อนที่จะเสิร์ฟไวน์ ให้แขกคนต่อไป(เสิร์ฟจากซ้ายไปขวา และสุภาพสตรีก่อนสุภาพบุรุษ)
- ถ้าคุณใช้ผ้ารองถือขวด เมื่อหยิบขวดไวน์ออกจากถังแช่ จะต้องระวังไม่ให้ผ้าปิดบัง ฉลากบนขวดไวน์ซึ่งเปรียบเสมือนประกาศนียบัตรรับรองไวน์ขวดนั้นเลยทีเดียว
- อย่ารินไวน์จนปริ่มถึงขอบแก้ว
-อย่าปล่อยให้แก้วว่างเปล่า โดยไม่ได้เติมไวน์ รวมทั้งอย่ารินไวน์ให้มากเกินไป
ไวน์ และอาหาร ความสมดุลแห่งรสชาติ
แม้เราจะทำตามกฎที่ผู้เชี่ยวชาญได้ปฎิบัติสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องหันหลังให้กับการแสวงหาความผสมกลมกลืนของรสชาติที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างกันออกไปหลักสำคัญก็คือ จะต้องจัดอาหารและไวน์ ให้ส่งเสริมรสชาติของกันและกันโดยไม่ไปกลบหรือทำลายเอกลักษร์ของรสชาติ ที่มีอยู่เฉพาะตัวความผสมกลมกลืนของรสชาตินี้ ก็เหมือนกับความผสมกลมกลืนของสีสัน หรือดนตรี
คุณควรจะต้องเสิร์ฟไวน์หลายชนิดในอาหารต่อมื้อ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะสร้าง “ลำดับ” จากความอ่อนนุ่มที่สุด ไปสู่รสชาติเต็มขั้น โดยเสริฟ
ไวน์รสไม่หวาน ก่อน ไวน์หวาน
ไวน์ขาว ก่อน ไวน์แดง
ไวน์แดง ก่อน ไวน์ที่มีรสหวาน
และไวน์ใหม่ ก่อน ไวน์ที่เก็บบ่มไว้หลายปี
และมีแต่น้ำเท่านั้น ไม่ใช่ไวน์ ที่เหมาะจะดื่มร่วมกับอาหารที่ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู สลัด พุดดิ้งส้ม หรือพุดดิ้งช็อกโกแลต เพราะอาหารเหล่านี้มีส่วนประกอบที่เป็นศัตรูกับไวน์ ทำให้ไวน์ไม่มีรสชาติ หรือมีรสชาติเปลี่ยนไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
 http://angelprunella.multiply.com/
ลองอ่านดูเเล้วกันครับ เเต่ผมว่านะครับ ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเนี่ยเห็นด้วยครับ เเต่ดื่มเพื่อความบันเทิงเนี่ยไม่เห็นด้วยครับ เพราะ เปลืองเงิน

No comments:

Post a Comment